Monday 23 November 2009

คืนบาปพรหมพิราม

เรื่องย่อ คืนบาปพรหมพิราม

ดัดแปลงจากนวนิยายเชิงอาชญวิทยาเรื่อง พรหมพิลาป ของ นที สีทันดร ที่นำมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของคดีสะเทือนขวัญที่เคยเกิดขึ้นจริงในปี พ.ศ. 2520 ที่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ภายใต้ประเด็นที่นำเสนอถึงความอยุติธรรมในสังคมที่มีค่านิยมผู้ชายเป็นใหญ่ ค่านิยมทางเพศที่ผู้ชายมองผู้หญิงว่าเป็นเพียงวัตถุที่ใช้สำเร็จความใคร่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงการละเมิดสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ ศีลธรรม วัฒนธรรม กฎหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่บ่งบอกถึงการประกอบอาชญากรรมล้านเปอร์เซ็นท์ ภายใต้รูปแบบและองค์ประกอบของภาพยนตร์

เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการเดินทางไปหาสามีที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ในระหว่างทางโดนนายตรวจไล่ลงจากรถไฟที่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก เนื่องจากไม่มีเงินตีตั๋วรถไฟ แต่ไม่รู้เลยว่าจะเป็นการลงรถไฟเที่ยวสุดท้ายในชีวิต เมื่อมีคนพบศพของหญิงสาวดังกล่าวเสียชีวิตโดยปริศนาที่รางรถไฟในเวลาต่อมา

สารวัตรหนุ่มใหญ่ (สมภพ เบญจาธิกุล) ที่มากด้วยไหวพริบ และผู้หมวดหนุ่มหน้าใหม่ (กมล ศิริธรานนท์) ที่เพิ่งย้ายราชการมาใหม่ต้องรับผิดชอบคดีการเสียชีวิตของหญิงสาวไม่ทราบชื่อ (พิมพ์พรรณ ชลายคุป) เมื่อเข้าไปรับผิดชอบคดีที่ดูเหมือนเป็นการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุภายใต้แรงกดดันจากทุกทิศทาง

แต่พอเข้าไปใกล้รูปคดีมากยิ่งขึ้น กลับกลายพบเงื่อนงำบางอย่างที่บ่งบอกว่านี่คือคดีฆาตกรรมที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งดึงเอาผู้คนหลากอาชีพ หลายวัยจากชนชั้นต่างๆ ในอำเภอดังกล่าวถึง 30 ชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของหญิงสาวรายดังกล่าว ภายใต้คดีฆาตกรรมขมขื่นกระทำชำเราหาใช่อุบัติเหตุไม่

อาชญกรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

เรียง คิว 30 คน ฆาตกรสารภาพเผยนาทีฆ่าโหดสาวให้ม้าเหล็กขยี้(พาดหัวข่าวหน้า1นสพ.ไทยรัฐ .29ส.ค.2520) ,เผยสาวหัวขาดคดีข่มขืนโหดผัวยืนยัน30คนเถื่อนโทรมเมียตาย , รองนายกระบุข่มขืนสาวให้รถไฟทับโหดร้ายทารุณไม่พ้นม.21แน่, สั่งย้ายที่คุมขัง 8 มนุษย์บ้ากามพบแผนแหกโรงพักหนีคดีข่มขืนโหด

ถ้อย คำเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนของข้อความพาดหัวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในช่วงเดือน สิงหาคมจนถึงกันยายนในปีพ.ศ.2520 เป็นข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นในปีเดียวกันกับที่ขวัญใจชาวไทยไอ้แสบ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์นักมวยขวัญใจชาวไทยเพิ่งขึ้นชกชนะนักมวยชาวต่างชาติ สำหรับผู้คนในยุคมือถือไฮเทค อินเตอร์เนตแชตรูม โดยเฉพาะน้อง ๆวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่เกิดมาโตไม่ทันกับอาชญากรรมสะเทือนขวัญที่กล่าวได้ว่าไม่เพียงสร้าง ความอัปยศให้กับพี่น้องชาวพรหมพิราม จ.พิษณุโลก จากการที่อมนุษย์จำนวน 30 ชีวิตก่อกรรมอันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์รุมข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาว ต่างถิ่นด้วยความไร้จิตสำนึก ปราศจากมนุษยธรรม เป็นการกระทำที่มนุษย์ไม่พึงกระทำต่อกัน สะท้อนถึงศีลธรรมที่ไม่มีอยู่ในใจของคนกลุ่มหนึ่งที่เกิดมาในเมืองไทยที่ได้ ชื่อว่าเมืองพุทธ นี่คืออุทาหรณ์ครั้งสำคัญที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยใด ถ้าการ์ดรถไฟไม่ไล่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายลงจากรถไฟเพราะไม่มีเงินจะตีตั๋ว เหตุการณ์เลวร้ายจะไม่เกิดขึ้นถ้าความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ฝังอยู่ในจิตใต้ สำนึกของคน คดีอัปยศจะไม่เกิดขึ้นถ้ากลุ่มคนทั้ง 30 ชีวิตมีความเป็นคน

จากเรื่องจริงที่แสนอัปยศ สู่บทสะท้อนแห่งความมืดมิดในใจมนุษย์ที่โลกจักต้องรับรู้
มานพ อุดมเดช ผู้ กำกับ เล่าว่า "คือเรื่องมันเป็นเรื่องจริง เป็นคดีอาชญากรรมที่อื้อฉาวมากที่สุดอื้อฉาวขนาดสหประชาชาติถึงกับจัดเสวนา ว่าด้วยเรื่องสิทธิสตรีขึ้นเป็นพิเศษกันเลย เพราะเรื่องนี้ เรื่องของเรื่องก็มีว่า ผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อจริงแกชื่อนางสำเนียง นามสกุลถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็น พุ่มหมอก เป็นคนอำเภอบ้านดารา ซึ่งอยู่ทางเหนือขึ้นไปจากอำเภอพรหมพิราม เธอได้หายจากบ้านไปตั้งแต่ปี ๑๙ แต่อยู่ๆ ในปีถัดมา ก็มาโต๋เต๋อยู่ที่สถานีรถไฟพรหมพิรามในตอนกลางคืน ไปยังไงมายังไงไม่มีใครรู้ เท่าที่ฝ่ายค้นเรื่องเขาสืบค้นบอกว่า เธอเป็นคนเอ๋อ จะว่าเต็มก็ไม่ใช่ จะว่าปัญญาอ่อนก็ไม่เชิง ตอนนั้นไม่มีใครรู้หัวนอนปลายตีน ว่าเป็นใครมาจากไหนถึงได้มาโดนรถไฟทับตัวขาดกระเด็นสามท่อน ทุกคนคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ นี่เรื่องจริงนะ คดีถูกปิดแฟ้มไปเรียบร้อย แต่มีนักข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุและเริ่มเขียนขุดคุ้ย ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เรื่องดังขึ้นมาเมื่อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐตีข่าวไปทั่วประเทศ กรมตำรวจจึงรื้อคดีขึ้นมาใหม่ เอาไปเอามาเรื่องมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นเรื่องฆาตกรรมอำพราง ตำรวจทำงานอย่างหนักพบว่านางสำเนียงคนนี้ถูกข่มขืนกระทำชำเรา โดยพวกผู้ชายในอำเภอนี้มากกว่ายี่สิบคนเป็นฝูงใหญ่เลยว่างั้น จนผู้หญิงตาย แล้วเกิดกลัวความผิดจึงเอาศพไปวางให้รถไฟทับเป็นการอำพราง คดีถึงที่สุดพวกกระทำผิดทั้งหมดถูกจับกุม เขาว่าเกือบทั้งอำเภอ แน่นโรงพักไปหมด ก็ติดคุกชดใช้กรรมชั่วกันไป บางคนเพิ่งจะพ้นโทษเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง บางคนตายไปแล้วก็มี "

"นี่คือโปรเจ็คต์ที่ฟ้ากำหนด"

ผู้ กำกับ กล่าวต่อไปว่า "โปรเจ็คต์เรื่องพรหมพิรามนี้ที่ได้ทำ กล่าวได้ว่าเพราะฟ้ากำหนดจริง ๆ คือผมได้พบหนังสือเล่มบางๆ ที่เขียนโดยนที สีทันดร ราวๆ ปี 40 ชื่อ พรหมพิลาป ผมเจอมันโดยบังเอิญในขณะที่ไปเดินเกร่อยู่ในร้านขายหนังสือในเวิ้งของห้าง เซนทรัล งามวงศ์วาน พลิกอ่านดูสองสามหน้า เอ๊ะ ! ไม่ธรรมดา มันเหมือนครั้งหนึ่งที่ผมเคยเจอหนังสือปกขี้เหร่เรื่อง หย่าเพราะมีชู้ ที่ร้านหนังสือธมบุคส์ ซาลอง ของเชิด ทรงศรี เมื่อปี ๒๔ อารมณ์นั้นเลยนะ...เข้าท่า สนุกมาก ผมอ่านรวดเดียวไม่วาง คือนานแล้วที่ผมไม่เคยได้อ่านหนังสือแบบอ่านรวดเดียวจบ ชนิดไม่วาง ส่วนใหญ่ แค่สิบหน้าผมเป็นโยนแล้ว แต่เรื่องนี้ นที สีทันดรเขียนได้สนุก ที่สำคัญวิธีการเล่าเรื่องของแกเยี่ยมมาก พล็อตหรือโครงสร้างของเรื่องเยี่ยมมากเลย ผมบอกตัวเองว่า นี่คือเรื่องที่ผมจะต้องทำเป็นหนังให้ได้"

โป รเจ็กนี้ผ่านตาบริษัทหนังค่ายยักษ์ๆ มาแล้วทุกค่าย ไม่มีใครอยากทำมันเลย จนกระทั่งถึงปี 45 ผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับมันแล้ว อยู่ๆ ฟ้าก็กำหนดใหม่ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ซึ่งก่อนหน้านี้หลาย ปีเรื่อยมา ทุกครั้งที่ท่านเห็นผม จะทรงถามเสมอว่า ทำไมไม่ทำพรหมพิราม ถามอยู่อย่างนี้ ผมก็ทูลไปว่าผมไม่มีนายทุน ท่านก็ไม่พูดอะไรต่อ เหลือเชื่อ 7 ปีนะครับที่ท่านถามผมอยู่แค่นี้ทุกครั้งที่เจอกัน แล้วปีกลายนี้อยู่ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณสนานจิต บางสะพาน บอกว่าให้ผมไปพบคุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ตอนตี 3 ผมก็เอ...เสี่ยเรียกทำไม แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเรียก ไปดีไม่ไปดี แล้วก็ตัดสินใจไป...เจอกัน คุณสนานจิตอยู่ด้วยเสี่ยก็บอกว่า ท่านจะทำหนังเรื่องพรหมพิราม ต้องการผมไปกำกับหนังเรื่องนี้ ก็เลยเรียกผมไปคุยเพื่อให้เข้าใจในทิศทางการทำงานร่วมกัน เสี่ยบอกว่าทุนสร้างเท่าไหร่ไม่ต้องสนใจ ถ้าจะทำก็ทำไปถามว่าจะทำไหม ? ผมก็ตอบว่าทำซิ... เรื่องอะไรไม่ทำ ฟ้ากำหนดแล้วนี่ ความเป็นมาก็คือว่าที่ท่านมุ้ยทรงถามผมมาตลอดนั้น ท่านได้มีการพูดคุยกับทางสหมงคลฟิล์มก่อนแล้วโดยที่ผมไม่ทราบมาก่อน จนเสี่ยเขาเรียก นั่นคือเสี่ยเปิดไฟเขียว จากนั้นผมก็ได้ไปพร้อมมิตร จาก พรหมพิราม25 น. ก็เปลี่ยนเป็น คนบาปพรหมพิราม

จากเรื่องจริงที่แสนอัปยศ สู่บทสะท้อนแห่งความมืดมิดในใจมนุษย์ที่โลกจักรับรู้

นที สีทันดร นักเขียน "มันน่าจะเป็นเรคคอร์ด ของประเทศไทยหรือของโลก ผมไม่รู้กินเนสบุ๊คส์ บันทึกผู้หญิงที่ถูกข่มขืนบ้างหรือเปล่า เท่าที่ผมทำงานน.ส.พ. 40 ปีจนถึงวันนี้ การข่มขืนหมู่ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนในโลก จะมีผู้หญิงถูกข่มขืนถึง 30 คน หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้น ผมเคยอยู่ในสงครามเรื่องการข่มขืนก็ไม่มีการทำอย่างนั้น หรือแม้ในบรรดาคนที่จับผู้หญิงมาข่มขืนที่เป็นข่าวหน้า น.ส.พ. ตั้งแต่ผมอายุ 17 จนกระทั่งตอนนี้ผมอายุ 50กว่าๆ อย่างเก่งข่มขืนกัน 2 คนหรือ3-4คน นี่ 30 คนแล้วมันสะท้อนให้เห็นว่านี่เมืองไทยเหรอ ชาวพุทธเหรอ ศีลธรรมไปไหน"

"ผม ใช้ความเป็นนักเขียนจินตนาการเรื่องราวเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาข่มขืนกัน คนถูกข่มขืนสัก 3-4 คนก็เจ็บปวดจนอาจจะสลบไปแล้ว และยังมีผู้ชายมาข่มขืนเธอในขณะที่เธอสลบก็เหมือนตาย ผมก็เชื่อว่าเมื่อเธอตายแล้วศพก็ยังโดนข่มขืน ผมว่ามันเลวร้ายที่สุดของคดีอาชญากรรมทางเพศในโลกนี้ และชั่วร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อเธอตายแล้ว ทำไมต้องอำพรางคดี อำพรางศพทำเหมือนว่าตกรถไฟแล้วโดนรถไฟทับ หากว่าไม่มีการขุดคุ้ยคดีนี้ขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้ก็ต้องตายฟรี ผัวก็ไม่รู้ว่าเมียหายไปไหน พี่น้องก็ไม่รู้ ซึ่งคดีอย่างนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะผู้หญิงคนนี้ ยังมีคนในประเทศหายสาบสูญในทำนองนี้อีกมากมาย เพียงแต่เราไม่มีโอกาสได้เข้าไปค้นหาความเป็นจริง ผมเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เป็นครั้งแรกที่ปรากฏปรากฎการณ์ขึ้น"

คืนบาปพรหมพิราม 1/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



คืนบาปพรหมพิราม 2/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



คืนบาปพรหมพิราม 3/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



คืนบาปพรหมพิราม 4/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



คืนบาปพรหมพิราม 5/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่



คืนบาปพรหมพิราม 6/6 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

No comments:

Post a Comment