The Host อสูรนรกกลายพันธุ์

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากตัวประหลาดนั้น ทำให้ต้องมีการปิดล้อมบริเวณเขตแม่น้ำ Han กรุงโซลกลายเป็นอัมพาตไปในทันที เมื่อรัฐบาลประกาศว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้นคือร่างอันเกิดจากไวรัสซึ่งไม่ สามารถระบุชนิดได้จึงเหมือนกับราดน้ำมันลงบนกองไฟแห่งความสยดสยอง กองทัพอเมริกันอ้างถึงการพัฒนาอาวุธชีวภาพลับที่รู้จักในนามของ Agent Yellow ว่าเป็นหนทางเดียวในการหยุดยั้งเจ้าสัตว์ประหลาดร้ายและการแพร่กระจายของ ไวรัส Gang-du ผู้ซึ่งถูกปล้นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตไป ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่อันสงบสุข และเหนือสิ่งอื่นใด ลูกสาวของเขา Hyun-seo หากแล้ว Gang-du ผู้ไร้ซึ่งทุกสิ่งก็ได้รับโทรศัพท์จาก Hyun-seo ที่ถึงแม้จะอกสั่นขวัญแขวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรเพราะคงไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาพูด เมื่อเขาวางแผนจะแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามบริเวณแม่น้ำ Han เพื่อช่วยลูกสาวสุดที่รักจากเงื้อมือของสัตว์ร้าย มีเพียงครอบครัวของเขาเท่านั้นที่ยืนอยู่เคียงข้าง - ดีวีดี dvd Host, The อสูรนรกกลายพันธุ์

แม้ ว่า ขึ้นเครดิตว่าเป็นหนังที่มีผู้ชมในเกาหลีมากถึงกว่า 12 ล้านคน และเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของเกาหลี แต่จขบ. เชื่อว่าต้องมีคนไทยหลายคนไม่ปลื้มกับหนังสัตว์ประหลาดเรื่องนี้อยู่พอสมควร แน่ เพราะเรามักคุ้นชินกับหนังสัตว์ประหลาดฟอร์มยักษ์จากโลกฮอลลีวูดซะมากกว่า เช่นเรื่อง Godzilla, Deep Blue Sea หรือ Lake Placid ที่คนดูจะได้มันส์กับการที่สัตว์กลายพันธุ์ออกทำลายล้างมนุษย์ แต่ใน The Host กลับกลายเป็นหนังดราม่า ที่มีสัตว์ประหลาดออกมาเป็นตัวประกอบเท่านั้น
หลัง เหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดเมื่อ 11 กันยายน 2001 ถือเป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายให้ประชาชนมีความตื่นตัวทางสังคม เพราะเหตุการณ์ ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่เพียงในอเมริกาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคมโลกซึ่งมีผลพวงมาเป็นลูกโซ่เช่น เหตุระเบิดที่บาหลี เหตุการณ์วางระเบิดรถไฟที่ลอนดอน หรือความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนเเรงมากขึ้นทุกวันๆ และผลสะท้อนที่ส่งมาถึงยุคหลัง 9/11 นี่เองทำให้ผู้คนเปลี่ยนทัศนคติที่ตนเองมีต่ออเมริกาเสียใหม่ แม้กระทั่งวงการภาพยนตร์เองที่มีความตื่นตัวในเรื่องนี้ เช่นงานกำกับของไมเคิล มัวร์ ที่วิพากษ์อเมริกาอย่างไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมใน Bowling for Columbine และ Fahrenheit 9/11
และหนัง The Host ของผู้กำกับ บอง จุนโฮ ก็เป็นหนังที่กล้าตบหน้าอเมริกาฉาดใหญ่ ที่แม้หน้าหนังจะเป็นหนังสัตว์ประหลาด แต่ที่จริงแล้วเป็นหนังวิพากการเมืองและสังคมชั้นดีที่แสดงทัศนคติต่อ อเมริกาอย่างโจ่งแจ้ง ตัวหนังอิงจากเหตุการณ์จริงที่เกิดในเกาหลีใต้ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอเมริกา มาโดยตลอดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังเช่นความเป็นจริงที่มีการปล่อยสาร formaldehyde (หรือ ฟอร์มาลีน ที่ใช้ในการดองศพ) จากทหารอเมริกาลงแม่น้ำของเกาหลีในปี 2000 และจากเหตุการณ์นี้ก็ไม่สามารถจับผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ เพราะกองทัพสหรัฐไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความเคืองแค้นให้กับชาวเกาหลีเป็นยิ่งนัก
หนัง เปิดฉากด้วยความเงียบสงบด้วยภาพผู้คนใช้ชีวิตประจำวันอย่างสบายใจอยู่ริมแม่ น้ำฮาน แต่จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดโผล่ออกมาจากแม่น้ำแล้วออกไล่จับชาวบ้านมากิน แต่แทนที่รัฐบาลจะหาทางกำจัดสัตว์ประหลาดตัวนี้ กลับยินยอมให้กองทัพจากสหรัฐอเมริกาเข้ามากักบริเวณผู้ที่สัมผัสตัวเจ้า สัตว์ตัวนี้เพราะอเมริกาต้องการได้หน้าจากการวิจัยเจ้าสัตว์ประหลาด
สุด ท้ายคนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้คือประชาชนตาดำๆที่ไร้ทางสู้ ดังเช่นครอบครัวของพระเอกที่ตัดสินใจหนีออกจากสถานกักกันโรคเพื่อออกไปช่วย ลูกสาวกันเอง โดยในมือมีเพียงอาวุธจิ๊บจ้อยที่ดูแล้วไม่น่าจะสะกิดผิวของเจ้าสัตว์ประหลาด ได้เลย
สังเกตว่าทั้งเรื่องก็มีแต่ประชาชนตาดำๆที่ต้องต่อกร กับสัตว์ประหลาดตามยถากรรม แล้วไอ้เจ้า ผู้มีอำนาจในรัฐบาลเกาหลี มันหดหัวอยู่ที่ไหน คนดูก็เห็นแต่เจ้าหน้าที่อเมริกัน องค์กรอเมริกัน และกำลังทหารอเมริกันที่เข้ามาเป็น watch dog คอยจัดการเจ้าตัวร้าย เช่นฉากช่วงแรกของหนังที่แดกดันพฤติกรรมแบบฮีโร่ของอเมริกาโดยให้นายทหาร อเมริกันคนนึงเข้าไปสู้กับสัตว์ประหลาดแบบถวายชีวิต ทั้งๆที่คนอื่นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ทำให้นึกไปถึงสงครามอิรักที่ชอบโปรโมททหารอเมริกาเข้าไปอุ้มเด็กชาวอิรัก อย่างรักใคร่โดยไม่นึกถึงความเป็นจริงว่าใครล่ะที่เป็นผู้ร้ายทำให้เด็กน้อย พวกนี้เป็นกำพร้า หรือตัวหนังที่ทางการอเมริกันอ้างว่าเจ้าสัตว์ประหลาดอาจจะมีไวรัสร้ายแรง ทำให้ผู้ที่สัมผัสถูกเจ้าสัตว์ร้ายกลายเป็นเหยื่อให้ถูกล่า และกักกัน ซึ่งเป็นการจิกกัดอเมริกันที่บุกเข้าไปอิรักด้วยข้ออ้างที่ว่าอิรักอาจมี อาวุธชีวภาพร้ายแรง แต่สุดท้ายก็ไม่พบอาวุธร้ายตามที่อ้าง สิ่งที่นโยบายอเมริกาทำร้ายคนเกาหลีในหนังไม่ต่างกับสัญญา FTA ที่อเมริกาใช้บีบเกาหลีในตอนนี้ หรือการที่ฐานทัพอเมริกาไม่ยอมย้ายออกไปจากเกาหลี รัฐบาลเกาหลีเองก็ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายก็ต้องเป็นประชาชนตัวเล็กๆที่ต้องลุก ขึ้นมาประท้วง หนังเรื่องนี้มันเป็นภาพสะท้อนของเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่ว โลกที่ประชาชนลุกขึ้นมาต่อกรกับผู้มีอำนาจ เช่นการที่ประชาชนเกาหลีใต้รวมกันประท้วง FTA หรือ หรือแม้ในปี 2549 ที่คนในบ้านเราลุกขึ้นมาต่อต้านผู้นำของเราหลังจากที่ปล่อยให้เขาตักตวงผล ประโยชน์ไปหลายปี

อีก ฉากที่แดกดันได้อย่างเจ็บปวดคือฉาก ‘ควันเหลือง’ ที่อเมริกาเอามาปล่อยเพื่อฆ่าเชื้อสัตว์ประหลาด แต่สุดท้ายมันก็ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง อันนี้ผู้กำกับต้องการให้เป็น paradox ถึง ‘ฝนเหลือง’ (Agent Orange) ที่อเมริกาใช้ในสงครามเวียดนามด้วยหรือเปล่า? จขบ. ก็มิอาจทราบได้ แต่การปล่อยฝนเหลืองเพื่อทำลายยุทธวิธีกองโจรของเวียดนามนั้นไม่ได้ทำลาย เพียงทหารเท่านั้น เพราะมีประชาชนตาดำๆอีกหลายคนพัน หลายหมื่นที่ได้รับผลกระทบจนถึงวันนี้ แถมไอ้เจ้าอเมริกันที่ชอบทำตัวเป็นตำรวจโลกนี่แหละที่ไม่ยอมเข้าร่วมประชุม สัมมนาเรื่องผลกระทบของฝนเหลืองที่กรุงฮานอยในปี 2549 ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่เป็นตัวต้นเหตุ หนังสื่อให้เห็นว่าการปล่อยให้อเมริกาเข้ามามีบทบาทประเทศ โดยที่รัฐบาลนิ่งเฉยดูดาย หรือการทำงานของรัฐบาลที่เน้นการสร้างสถานการณ์ โดยที่ประชาชนผู้เดือดร้อนไม่อาจหวังพึ่งพิงได้เลย มันทำร้ายประชาชนตาดำๆมากขนาดไหน

และ ในท้ายที่สุด ในหนังมีการออกแถลงการณ์ของผู้มีอำนาจออกทางสื่อโทรทัศน์ถึงสถานการณ์ที่ เกิดขึ้นว่า เป็นแค่ผลจากความผิดพลาดด้านการสื่อสาร นั่นเป็นการปิดหูปิดตาประชาชนเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องตอบคำถามใดๆ หรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วเป็นการปกปิดความเลวร้ายของตน?
นักแสดงแต่ละ คนแสดงได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งพระเอกที่เป็นคนไม่เอาไหน ไม่มีความน่าเชื่อว่าจะเป็นพ่อที่ดีเลยสักนิด (ถ้าไม่นับจากการที่เขาพยายามเข้าไ

และ อย่างที่เกริ่นไว้ในช่วงต้นๆแล้วว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่ามากกว่าที่ จะเป็นหนังแอ็กชั่นสัตว์ประหลาด ถ้า หวังดูภาพทำลายตึก พังบ้าน ระเบิดตูมตาม ยิงเลือดกระจาย หรือหวังดูหนังสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ที่มีความสมเหตุสมผลว่ามันกลายพันธุ์ ได้อย่างไรแบบหนังวิทยาศาสตร์ คุณอาจจะผิดหวัง แต่ถ้าจะดูดราม่าดีๆสักเรื่อง เรื่องนี้น่าจะทำให้คุณไม่ผิดหวังเท่าไรนัก
This comment has been removed by the author.
ReplyDelete